1/11/2553

เอลฟ์ในตำนานนอร์ส


เรื่องของเอลฟ์ที่เก่าแก่ที่สุดปรากฏอยู่ในตำนานปรัมปราของพวกนอร์ส ในปกรณัมนอร์สโบราณเรียกพวกเอลฟ์ว่า อัลฟาร์ (álfar) อย่างไรก็ดี แม้จะไม่มีหลักฐานที่เก่าแก่กว่าหรือหลักฐานในยุคเดียวกันกับพวกนอร์ส แต่ชื่อ อัลฟาร์ ก็มีความเกี่ยวพันอยู่อย่างมากในนิทานพื้นบ้านหลายแห่งจนอาจเชื่อได้ว่า เอลฟ์ เป็นที่รู้จักอยู่ทั่วไปนานแล้วในหมู่ชนเผ่าเยอรมัน ไม่ได้เป็นที่รู้จักแต่เพียงในหมู่สแกนดิเนเวียนโบราณเท่านั้น



ไม่มีแหล่งข้อมูลใดอธิบายได้ชัดเจนว่าเอลฟ์คืออะไร แต่พวกเอลฟ์ดูจะเป็นที่รู้จักในฐานะสิ่งมีชีวิตขนาดเดียวกันกับมนุษย์ มีพลังอำนาจมากและสวยงามมาก มีมนุษย์ที่มีชื่อเสียงหลายคนได้รับยกย่องให้เป็นเอลฟ์หลังจากเสียชีวิตไปแล้ว เช่น กษัตริย์ โอลาฟ เกย์สตัด-เอลฟ์ (Olaf Geirstad-Elf) หรือ วีรบุรุษนาม โวลุนด์ (Völundr) ก็ถูกกล่าวขานว่าเป็น "ผู้เป็นใหญ่แห่งเอลฟ์" (vísi álfa) หรือว่าเป็น "หนึ่งในหมู่เอลฟ์" (álfa ljóði) ดังปรากฏในบทกวี Völundarkviða ซึ่งในวรรณกรรมร้อยแก้วยุคหลังระบุว่าเขาเป็นโอรสของกษัตริย์แห่ง "ฟินนาร์" (Finnar) อันเป็นพลเมืองแถบขั้วโลกกลุ่มหนึ่งที่เชื่อกันว่ามีเวทมนตร์ (หมายถึงพวก ซามี (Sami)) ในมหากาพย์ไทเดรค ราชินีชาวมนุษย์ผู้หนึ่งต้องประหลาดใจเป็นล้นพ้นเมื่อพบว่าคนรักของนางเป็นเอลฟ์ ไม่ใช่มนุษย์ นอกจากนี้ในมหากาพย์ Hrolf Kraki กษัตริย์องค์หนึ่งชื่อ เฮลกิ (Helgi) ขืนใจนางเอลฟ์ตนหนึ่งจนตั้งครรภ์ นางเอลฟ์ผู้นี้กล่าวกันว่าคลุมร่างด้วยผ้าไหมและเป็นสตรีที่สวยงามที่สุดเท่าที่คนเคยพบ

สายเลือดผสมระหว่างเอลฟ์กับมนุษย์น่าจะเริ่มต้นมาจากความเชื่อเก่าแก่ในตำนานนอร์สโบราณนี้เอง ราชินีชาวมนุษย์ผู้มีคนรักเป็นเอลฟ์ให้กำเนิดวีรบุรุษคนหนึ่งชื่อ Högni ส่วนนางเอลฟ์ซึ่งถูกกษัตริย์เฮลกิขืนใจให้กำเนิดธิดานามว่า สกุลด์ (Skuld) ภายหลังได้วิวาห์กับ Hjörvard ซึ่งเป็นผู้สังหาร Hrólfr Kraki ในมหากาพย์ Hrolf Kraki เล่าว่า สกุลด์ผู้เป็นลูกครึ่งเอลฟ์มีอำนาจวิเศษทางเวทมนตร์ และไม่มีใครสามารถเอาชนะในการศึกกับนางได้เลย เมื่อนักรบคนใดของนางถูกสังหาร นางจะเสกให้เขาลุกขึ้นมาต่อสู้ต่อไป หนทางเดียวที่จะเอาชนะนางได้คือต้องจับตัวนางเสียก่อนที่นางจะเรียกรวมกองทัพของนางได้ ซึ่งรวมถึงกองทัพเอลฟ์ด้วย[3]

ในมหากาพย์ Heimskringla และมหากาพย์ธอร์สไตน์ (Thorstein) มีการบันทึกลำดับสันตติวงศ์ของกษัตริย์ผู้ครอง อัล์ฟเฮม ดินแดนซึ่งสอดคล้องกับแคว้น Bohuslän ในสวีเดนกับแคว้น Østfold ในนอร์เวย์ กษัตริย์เหล่านี้สืบทอดเชื้อสายมาจากเอลฟ์ จึงกล่าวกันว่าเป็นผู้ที่งดงามยิ่งกว่ามนุษย์ธรรมดาทั่วไป

แผ่นดินซึ่งปกครองโดยพระราชาอัลฟ์มีชื่อเรียกว่า อัล์ฟเฮม ทายาทของพระองค์ล้วนเป็นผองญาติของเอลฟ์ พวกเขางดงามยิ่งกว่าชนทั้งหลาย[4]

กษัตริย์องค์สุดท้ายของราชวงศ์นี้มีชื่อว่า แกนดัล์ฟ (Gandalf) [5]

นักประวัติศาสตร์และนักเทววิทยาชาวไอซ์แลนด์ชื่อ Snorri Sturluson เรียกพวกคนแคระ (dvergar) ว่า "เอลฟ์มืด" (dark-elves: dökkálfar) หรือ "เอลฟ์ดำ" (black-elves: svartálfar) สิ่งนี้สะท้อนถึงความเชื่อในยุคกลางของสแกนดิเนเวียนหรือไม่ยังไม่แน่ชัด[1] แต่เขาเรียกพวกเอลฟ์อื่นๆ ว่า เอลฟ์สว่าง (light-elves: ljósálfar) ซึ่งแสดงถึงความเกี่ยวข้องระหว่างพวกเอลฟ์กับเทพเฟรย์ (Freyr) ผู้เป็นเทพแห่งดวงอาทิตย์ Snorri บรรยายความแตกต่างของพวกเอลฟ์ไว้ว่า

"มีที่แห่งหนึ่งบนนั้น [ในห้วงเวหา] เรียกชื่อว่า นิวาสเอลฟ์ (Elf Home หรือ Álfheimr อัล์ฟเฮม) ผองชนผู้อาศัยอยู่ที่นั่นเรียกว่า เอลฟ์สว่าง (light elves: Ljósálfar) ส่วนพวกเอลฟ์มืด (dark elves: Dökkálfar) อาศัยอยู่ใต้พื้นโลก พวกเขามีร่างปรากฏไม่เหมือนกัน ทั้งมีความจริงแท้แตกต่างกันยิ่งกว่า เอลฟ์สว่างมีร่างปรากฏสว่างไสวยิ่งกว่าดวงอาทิตย์ แต่พวกเอลฟ์มืดนั้นดำสนิทยิ่งกว่าห้วงเหว"[6]

1/07/2553

ประวัติของชนเผ่า Dark Elf



ความไม่ลงรอยของพวกElf

การ เปลี่ยนแปลงครั้งยิ่งใหญ่ได้เกิดขึ้นในป่าของชาวเอลฟ์ในช่วงนี้เอง เมื่อสูญเสียอำนาจการปกครองให้กับเหล่ามนุษย์ ชาวเอลฟ์ก็เริ่มสูญเสียความมั่นใจไป และพวกเขาก็ลืมความมุ่งมั่นที่จะปกครองดินแดนและเริ่มพอใจกับการใช้ชีวิตอัน สงบสุขในป่าของพวกเขา

แต่มีชาวเอลฟ์อยู่กลุ่มหนึ่งที่เรียกตัวเอง ว่า Brown Elves รู้สึกไม่พอใจกับสภาพความสงบสุขที่ชาวเอลฟ์ส่วนใหญ่มีอยู่ในขณะนี้ ด้วยความที่ Brown Elves มีความทะเยอทะยานในตัวเองสูง พวกเขาจึงยืนกรานที่จะทำสงครามกับมนุษย์ต่อไป ถึงแม้ว่านั่นจะหมายถึงการที่ต้องใช้มนตร์ดำต้องห้ามก็ตาม อย่างไรก็ตาม ความคิดดังกล่าวของพวก Brown Elves ก็ต้องเผชิญกับการต่อต้านของพวก Elves ที่เหลือ

ในช่วงเวลานี้ พ่อมดที่เป็นมนุษย์ก็ได้ปรากฏตัวขึ้นท่ามกลางพวก Brown Elves และได้เข้าไปหาผู้นำของพวกเขาพร้อมพูดว่า

กษัตริย์แห่ง Brown Elves ท่านต้องการอำนาจ แต่พวก Tree Elves ที่อ่อนแอและพรรคพวกกลัวว่าท่านจะได้อำนาจที่ยิ่งใหญ่ตามที่ท่านควรจะได้รับ พวกเขาเพียงแค่กังกลว่าท่านจะโจมตีพวกเขา หรือว่าจะนำความเดือดร้อนมาให้พวกเขาจากการไปท้าทายมนุษย์ ด้วยความคิดอันอ่อนแอนี้เองที่เป็นสาเหตุของความอ่อนแอในปัจจุบัน

ผู้นำแห่ง Brown Elves ได้ตอบกลับไปอย่างระแวดระวังว่า ท่านเป็นใครนะ พ่อมดมนุษย์งั้นหรือ จะมาหลอกพวกข้าเพื่ออะไรอีกล่ะ

ข้าชื่อ Dasparion ข้าเป็นเพียงพ่อมดคนหนึ่ง แต่ข้ามีอำนาจที่ท่านต้องการ ข้าสามารถทำให้ฝันของท่านเป็นจริงได้ แต่ท่านต้องให้ในสิ่งที่ข้าต้องการ

แล้วท่านต้องการอะไรล่ะ

ความเยาว์วัยของท่าน ความลับที่จะมีชีวิตอยู่ชั่วนิรันดร์ Dasparion พูดพร้อมกับยิ้มกริ่มที่มุมปาก

ข้าอาจจะเก่งในเรื่องเวทย์มนตร์คาถาด้วยก็ได้ แต่ข้าก็เป็นเพียงมนุษย์และชีวิตของข้าก็ไม่อาจยืนยาวถึง 100 ปีหรอก เพราะฉะนั้น กษัตริย์แห่ง Brown Elves ท่านจะตัดสินใจอย่างไร ถ้าเราสองคนร่วมมือกัน เราย่อมได้ในสิ่งที่เราทั้งสองปรารถนา

เนื่อง จาก Brown Elves ถูกครอบงำด้วยมนตร์ดำของ Dasparion พวกเขาจึงยอมรับข้อเสนอและเรียนมนตร์ดำภายใต้การควบคุมของเขา ส่วน Dasparion เอง ได้ครอบครองสูตรที่จะทำให้ตัวเขาเป็นอมตะ

หลังจาก ที่ได้รับรู้เหตุการณ์ดังกล่าว พวกเอลฟ์ก็ได้เนรเทศพวก Brown Elves ผู้ซึ่งละทิ้งความเชื่อต่อเทพี Einhasad และหันมานับถือเทพ Gran Kain แทน การสู้รบระหว่างพวกเอลฟ์ก็เกิดขึ้นตามมา พวก Brown Elves ซึ่งทำตามแผนการของ Desparion ได้ใช้มนตร์อันร้ายกาจเพื่อทำลายล้างพวก Tree Elves แต่พวก Tree Elves ได้ร่ายคำสาปสะกดพวก Brown Elves คำสาปนี้ได้ทำให้ป่าของพวก Brown Elves ผุพังลงไป และพวก Brown Elves ได้กลายมาเป็นเผ่าพันธุ์แห่งความมืด และหลังจากนั้นเป็นต้นมา พวก Brown Elves จึงเป็นที่รู้จักกันในนามของ Dark Elves

1/06/2553

เก็บข้อมูลก่อนเรื่องจริงจะเริ่ม

The Lord of The Rings : The Fellowship of The Rings
อภินิหารแหวนครองพิภพ

ตัวละครสำคัญ

โฟรโด แบ็กกิ้นส์ (Frodo Baggins)
เผ่าพันธุ์ ฮ้อบบิท (Hobbit)
แสดงโดย อลิจาห์ วู้ด

เป็นผู้นำของผู้กล้าทั้งเก้า ในกลุ่มพันธมิตรแห่งแหวน โฟรโด้ แบกกิ้นส์ เป็นหลานของ บิลโบ้ แบกกิ้นส์ ใน The Fellowship of the Ring บิลโบ้ได้มอบแหวนให้กับโฟรโด้ นั่นจึงเป็นจุดเริ่มต้นของการนำแหวนไปทำลาย ก่อนที่ซอรอนจะกลับมามีอำนาจอีกครั้ง และนำมัชฌิมโลก ตกอยู่ภายใต้ความมืดมิดตลอดกาล



แกนดาล์ฟ (Gandalf)
เผ่าพันธุ์ พ่อมด (Wizard)
แสดงโดย เอียน แมคเคลเลน

แกนดาล์ฟ เดอะ เกรย์ เป็นพ่อมดสูงอายุที่มีอำนาจสูง เขาเป็นเพื่อนสนิทของอารากอร์นและโฟรโด้ ด้วยความที่ตระหนักดีถึงอำนาจชั่วร้ายของแหวน เขาจึงกระตุ้นให้โฟรโด้นำมันไปทำลาย ต่อมาเขาได้เข้าร่วมกับโฟรโด้และพันธมิตรที่เหลือ ระหว่างที่กำลังเดินทางข้ามมัชฌิมโลกเพื่อนำแหวนไปทำลาย



อารากอร์น/สไตรเดอร์ (Aragorn/Strider)
เผ่าพันธุ์ มนุษย์ (Human)
แสดงโดย วิกโก้ มอร์เทนเซ่น

อารากอร์นเป็นบุตรของอาราธอน เขาได้รับการคาดหมายว่าจะครองแผ่นดินกอนดอร์ในเวลาต่อไป ก่อนหน้านี้ บรรพบุรุษของเขาคือไอซิลเดอร์ ได้ตัดมือที่สวมแหวนเอกธำมรงค์ของซอรอนจนขาด ก่อนหน้าที่จะออกปฏิบัติภารกิจแห่งแหวน อารากอร์นทำหน้าที่เป็นผู้นำกองกำลังรักษาความสงบแห่งมัชฌิมโลก จนต่อมาได้เข้าร่วมกับกลุ่มพันธมิตรเพื่อนำแหวนไปทำลาย



แซมไว้ส แกมกี้ (Samwise 'Sam' Gamgee)
เผ่าพันธุ์ ฮ้อบบิท (Hobbit)
แสดงโดย ฌอน แอสติน

แซมเป็นคนสวนที่มีความแน่วแน่และจงรักภักดี เขาเป็นเพื่อนสนิทของครอบครัวแบกกิ้นส์ ทั้งโฟรโด้ และบิลโบ้ แม้ว่าเขาจะเป็นคนที่ไม่ฉลาดที่สุด แต่ความรักของเขาที่มีต่อถิ่นเกิด และเจ้านายอย่างโฟรโด้ ได้นำเขาไปสู่การเดินทางที่เต็มไปด้วยภยันอันตราย



อาร์เวน (Arwen Undomiel)
เผ่าพันธุ์ เอลฟ์ (Elf)
แสดงโดย ลิฟ ไทเลอร์

ในฐานะบุตรสาวของเอลดรอน และเป็นหลานสาวของกาลาเดรียล อาร์เวนเป็นเจ้าหญิงเอลฟ์ที่ต่อต้านกฎเกณฑ์ทุกประการ นอกจากนี้ เธอยังรักกับมนุษย์ผู้มีชีวิตอมตะที่ชื่ออารากอร์น เพราะรู้ว่าบิดาคงไม่เห็นด้วยแน่ เธอจึงต้องเลือกระหว่างครอบครัวและความรัก



กาลาเดรียล (Galadriel)
เผ่าพันธุ์ เอลฟ์ (Elf)
แสดงโดย เคธ บลันเชตต์

กาลาเดรียลเป็นราชินีเอลฟ์แห่งลอธโลเรียน และเป็นพระมเหสีของเซเลบรอน เธอมีศักดิ์เป็นแม่นางแห่งป่าสีทอง และมีกระจกวิเศษ ที่สามารถมองเห็นความเป็นไปในอนาคตกาลได้ เธอได้ให้ที่พักพิงแก่เหล่าพันธมิตร และเสื้อคลุมวิเศษที่สามารถซ่อนตัวพวกเขาจากสายตาปิศาจ



กิมลี (Gimli)
เผ่าพันธุ์ คนแคระ (Dwarf)
แสดงโดย จอห์น รายส์ เดวี่ส์

เป็นบุตรของโกลอิน กิมลีได้ร่วมเดินทางกับบิดาไปประชุมที่สภาเอลดรอนในริเวนเดล เขาได้รับการคัดเลือก ในฐานะตัวแทนของเผ่าพันธุ์คนแคระของกลุ่มพันธมิตร เขามักถือขวานประจำกายอยู่เสมอ



พิพพิน (Peregrin 'Pippin' Took)
เผ่าพันธุ์ ฮ้อบบิท (Hobbit)
แสดงโดย บิลลี บอยด์

ฮ้อบบิทแห่งเมืองไชร์ และเป็นหนึ่งในพันธมิตรทั้งเก้า เขามีศักดิ์เป็นญาติผู้น้องของโฟรโด และเป็นบุตรของเธนแห่งเมืองไชร์ อุปนิสัยเป็นคนร่าเริง และมีมนุษย์สัมพันธ์ดี



เมอร์รี่ (Meriadoc 'Merry' Brandybuck)
เผ่าพันธุ์ ฮ้อบบิท (Hobbit)
แสดงโดย โดมินิค โมนาแกน

เมอร์รี่เป็นฮ้อบบิทที่ร่าเริงอีกคนหนึ่ง เป็นเพื่อนสนิทที่ใกล้ชิดของโฟรโด้, พิพพิน และ แซม เขาได้สืบรู้แผนการเดินทางออกนอกเมืองไชร์ของโฟรโด้ จึงได้ร่วมติดตามไปด้วย



ลีโกลาส (Legolas Greenleaf)
เผ่าพันธุ์ เอลฟ์ (Elf)
แสดงโดย ออร์แลนโด บลูม

ด้วยความที่เป็นเอลฟ์ที่เติบโตจากเมิร์ควู้ด ลีโกลาสจึงได้รับเลือกให้เข้าร่วมกลุ่มพันธมิตรทั้งเก้า ในฐานะตัวแทนของเผ่าพันธุ์เอลฟ์ เขามีความสามารถในการยิงธนู นอกจากนี้ ยังมีประสาทสัมผัสที่เที่ยงตรงแม่นยำ



เอลดรอน (Elrond)
เผ่าพันธุ์ เอลฟ์ (Elf)
แสดงโดย ฮิวโก้ วีฟวิ่ง

เจ้าแห่งเอล์ฟ เอลดรอน เป็นพ่อของอาร์เว่น มีชีวิตเป็นอมตะ เป็นผู้นำสภาที่ก่อให้เกิดมติภราดรภาพแห่งแหวน มีน้ำเสียงที่ทรงพลัง ได้ขอให้ไอซิลเดอร์โยนแหวนวงนี้ลงไปในเปลวเพลิงแห่งเม้าธ์ดูม อันเป็นที่ที่มันถูกหลอมขึ้นมา แต่ด้วยความละโมบ ไอซิลเดอร์กลับแอบเก็บมันไว้กับตัวเองอย่างลับๆ



โบโรเมีย (Boromir)
เผ่าพันธุ์ มนุษย์ (Human)
แสดงโดย ฌอน บีน

บุตรคนโตของเดเนธอร์ สจ๊วตแห่งกอนดอร์ ที่สภาเอลดรอน เขาได้รับเลือกให้เป็นสมาชิกของกลุ่มพันธมิตรแห่งแหวน เขาเป็นนักรบที่หยิ่งทะนง



บิลโบ แบ็กกิ้นส์ (Bilbo Baggins)
เผ่าพันธุ์ ฮ้อบบิท (Hobbit)
แสดงโดย เอียน โฮล์ม

เป็นผู้นำแหวนแห่งอำนาจมาจากโกลลัม ต่อมาเขาได้มอบแหวนวงนี้ให้แก่หลานนามว่าโฟร้โด้ จนทำให้เกิดการเดินทางที่ยิ่งใหญ่ในเวลาต่อมา



ซารูแมน (Saruman)
เผ่าพันธุ์ พ่อมด (Wizard)
แสดงโดย คริสโตเฟอร์ ลี

เคยเป็นประธานสภาสีขาว แต่ต่อมา กลับตกเป็นทาสความละโมบต่ออำนาจของแหวน และอำนาจมืดของซอรอน เขามีกองบัญชาการที่แข็งแกร่งอยู่ที่ออธานาค และเขาก็ยังสร้างนักรบยูรุค-ไฮ เพื่อซุ่มโจมตีเหล่าพันธมิตรและแย่งแหวนวิเศษมา สัญลักษณ์ที่เด่นชัดของเขาคือมือที่ขาวซีด เขาจงเกลียดจงชังแกนดาล์ฟเป็นอย่างมาก เพราะเป็นต้นเหตุไม่ให้เขามีโอกาสถือครองแหวน



เซเลบรอน (Celeborn, King of Lothlorien)
เผ่าพันธุ์ เอลฟ์ (Elf)
แสดงโดย มาร์ติน โซคาส

เจ้าแห่งเอล์ฟ และ เป็นพระสวามีของกาลาเดรียล น้ำเสียงของเขาไร้ซึ่งอารมณ์



กษัตริย์ เธโอเดน แห่ง โรแฮน (King Theoden of Rohan)
เผ่าพันธุ์ มนุษย์ (Human)
แสดงโดย เบอร์นาร์ด ฮิลล์

กษัตริย์แห่งโรแฮนที่ต้องมนต์คำสาปของพ่อมดซารูมาน และถูกทรยศโดยคนใกล้ชิดที่ชื่อ เวิร์มธัง



เอโอวิน แห่ง โรแฮน (Eowyn of Rohan)
เผ่าพันธุ์ มนุษย์ (Human)
แสดงโดย มิแรนด้า อ็อตโต้

เป็นหลานของกษัตริย์ เธอต้องสูญเสียบิดามารดาอันเป็นที่รัก จากการสังหารของพวกออร์ค ด้วยเหตุนี้ จึงมีความมุ่งมั่น ที่จะต่อสู้กับอำนาจชั่วร้าย ที่คุกคามบ้านเกิดของเธอ



กริมา เวิร์มธัง (Grima Wormtongue)
เผ่าพันธุ์ มนุษย์ (Human)
แสดงโดย แบร้ด ดูริฟ

ที่ปรึกษาเจ้าเล่ห์ของกษัตริย์เธโอเดน เขาเป็นสมุนรับใช้ของพ่อมดปิศาจซารูมาน



เอโอเมอร์ (Eomer, Human of Rohan)
เผ่าพันธุ์ มนุษย์ (Human)
แสดงโดย คาร์ล เออร์บาน

หลานของกษัตริย์ เธโอเดน และเป็นน้องชายของเอโอวิน เขาเป็นนักรบที่ห้าวหาญและดุดัน ของกองทัพประชาชนโรแฮน



ฟาราเมียร์ (Faramir, Human of Gondor)
เผ่าพันธุ์ มนุษย์ (Human)
แสดงโดย เดวิด เวนแฮม

เป็นบุตรของเดเนธอร์ และเป็นน้องชายของโบโรเมียร์ เขาเป็นหนึ่งในกลุ่มทหารป่า ที่พบและจับตัวฮ้อบบิท ในระหว่างที่หลงเข้าไปใน อีมีน มิวล์



เดเนธอร์ (Denethor)
เผ่าพันธุ์ มนุษย์ (Human)
แสดงโดย จอห์น โนเบิล

สจ๊วตแห่ง กอนดอร์ ผู้เป็นบิดาของโบโรเมียร์และฟาราเมียร์ เขาปรารถนาที่จะครอบครองแหวนเป็นของตัวเอง เพื่อปกป้องประชาชน

1/05/2553

ตามหา 'เอลฟ์' ในไอซ์แลนด์



เอลฟ์มีจริงหรือเปล่า? คำตอบนั่นขึ้นอยู่กับว่าคุณกำลังถามใคร ถ้าเป็นชาวไอซ์แลนด์ ส่วนใหญ่คงพยักหน้ารับกับคำถามนี้

และ มีบ้างบางคนที่แบ่งรับแบ่งสู้ ก็จะให้พวกเขาเชื่ออย่างไรได้ในเมื่อนี่คือตำนานความเชื่อดั้งเดิมของชน ไอซ์แลนด์ที่สืบทอดกันมานานหลายร้อยปี

วันนี้ ซาราห์ เอ็ดมอนด์ส ผู้สื่อข่าวรอยเตอร์จะพาเราออกตามหาภูตตัวจิ๋วในดินแดนแห่งสายลมและโขดหินแห่งนี้

ปัจจุบัน ความเชื่อเกี่ยวกับสิ่งที่มองไม่เห็นยังทรงอิทธิพลแรงกล้าในไอซ์แลนด์ หลายครั้งที่สำนักงานการทางต้องระงับงานก่อสร้างหรือเปลี่ยนเส้นทางตัดถนน เพื่อหลีกเลี่ยงสถานที่ที่พวกชาวบ้านบอกกันว่าเป็นที่อยู่ของพวกเอลฟ์ หรือเป็นสถานที่ต้องคำสาป




เมื่อเราลองค้นหาคำว่า "เอลฟ์" หรือ "ไอซ์แลนด์" ในเว็บไซต์ Google เราจะพบแหล่งข้อมูลมากถึง 846,000 รายการ หรือเกือบ 3 เท่าของประชากรไอซ์แลนด์

แต่ก่อนที่เอ็ดมอนด์ส และ บ็อบ สตรอง ช่างภาพ กับ โซเฟีย ฮิลเดน โปรดิวเซอร์รายการทีวีจะเริ่มทัวร์ตามหาเอลฟ์ พวกเขาใช้เวลาที่พอมีเหลืออยู่ออกค้นหาที่มาของความเชื่อนี้เก็บเป็นข้อมูล เริ่มจากที่กรุงเรคยาวิกนี่แหละ

แหล่งข้อมูลแรกมาจากพนักงานดูแล แขกของโรงแรม ที่บอกพวกเขาถึงสถานที่หนึ่งที่หญิงชาวบ้านคนหนึ่งทำ "ประตูเอลฟ์" เพื่อบ่งบอกว่าโขดหินนี้มีประชากรเอลฟ์อาศัยอยู่หนาแน่น เขาวงกลมทำเครื่องหมายบนแผนที่ไว้ให้ด้วย

เออร์ลา สเตฟานส์ดอตตีร์ ครูสอนเปียโน คน ท้องถิ่นที่อ้างว่าเคยเห็นเอลฟ์กับตาซึ่งมีชื่อปรากฏอยู่บนแผ่นพับสำหรับนัก ท่องเที่ยวในฐานะผู้เชี่ยวชาญด้านเอลฟ์ รับประกันกับนักล่าหาเอลฟ์กลุ่มนี้ระหว่างคุยกันทางโทรศัพท์ว่า เอลฟ์ในไอซ์แลนด์มีอยู่มากมาย ไม่ต้องเดินทางออกตามหาไกลหรอก

มีผู้เชี่ยวชาญรับรองเป็นมั่นเหมาะแบบนี้ พวกเขาจึงเก็บของทิ้งเมืองหลวงไปแสวงสิ่งแปลกใหม่ตื่นตาตื่นใจมากมายที่รออยู่ข้างนอก

สภาพภูมิประเทศของไอซ์แลนด์ที่เห็นดูเป็นสถานที่ที่เหมาะสำหรับเป็นที่อยู่ของพวกเอลฟ์

ภูมิทัศน์สองข้างทางถนนสายใหญ่ที่ทอดตัวโดดเดี่ยว หรือทางหลวงหมายเลข 1 อย่างกับภาพทิวทัศน์จากดาวเคราะห์ดวงอื่น

มอ สหนาหลากสีสัน ตั้งแต่สีซีดเกือบเทาจนถึงสีแดงเข้ม ขึ้นปกคลุมทุ่งหินลาวาสีดำขรุขระ แต้มด้วยสีเหลืองและสีแดงคล้ำสนิมของมวลดอกไม้ แทรกสะดุดด้วยเสียงน้ำตกและธารน้ำไหล ไอน้ำพวยพุ่งขึ้นสูงสู่อากาศที่เจือด้วยกลิ่นกำมะถันจากร่องหินที่ทอดตรงสู่ ใจกลางโลกที่หลอมละลาย

กระนั้นทุกวันนี้ยังมีมนุษย์บางรายที่ตื่นกลัวชีวิตเล็กๆ พวกนี้

เพราะ ว่าชาวไอซ์แลนด์ส่วนใหญ่ในประชากร 300,000 คนใช้ชีวิตอยู่ที่กรุงเรคยาวิก จึงไม่แปลกที่ดินแดบแถบนี้แทบจะร้างไร้คนสัญจร ต้นไม้ใหญ่ก็แทบไม่มีให้เห็น ยกเว้นบริเวณที่อยู่ใกล้เมือง มีนกแค่ 3 ตัวที่มาปรากฏแก่สายตาพวกเขาในวันอันหนาวเหน็บวันนี้

ตามทุ่งหญ้ามี ฝูงม้าพันธุ์เล็กและแกะขนหนา พวกเขาได้พบเห็นหุบเขางดงามยิ่งแห่งหนึ่งที่ทอดตัวลงสู่ทะเล ตัดไขว้ด้วยถนนหินลาวาเนื้อร่วน

ท้ายทริปของวันนั้น กลุ่มนักล่าเอลฟ์ไปพบ "บลูลากูน" แหล่งธารน้ำแร่ร้อนจากธรรมชาติที่มีชื่อเสียงของไอซ์แลนด์ ที่ผู้คนนิยมมาอาบน้ำร้อนแช่น้ำแร่ขุ่นมัวในแอ่งน้ำตื้นสีฟ้าเข้ม

แต่นั่นเป็นก่อนที่พวกเขาได้เจอ "ประตูเอลฟ์"

เอลฟ์ ตามข้อมูลของสารานุกรมเสรีวิกีพีเดีย ระบุว่า เอลฟ์ หรือพราย สิ่งมีชีวิตอมนุษย์ในตำนานนอร์ส ซึ่งเชื่อกันว่าอาศัยอยู่ตามภาคเหนือของยุโรป เอลฟ์ส่วนมากจะถูกแสดงในรูปลักษณ์หน้าตาที่สวยงาม อยู่ตามป่าเขาธรรมชาติ กล่าวกันว่าพวกเขาเป็นอมตะและมีพลังเวทมนตร์...

และพลังเวทมนตร์เหล่านี้เองได้รับการกล่าวขวัญถึงในหมู่ชาวไอซ์แลนด์ว่า เป็นต้นเหตุของเรื่องลึกลับ ชวนฉงนในชีวิตประจำวันของมนุษย์

คริสติน บียอร์ก พนักงานสถานีบริการน้ำมันในเมืองฮวีราเจอร์ดี ที่อยู่ห่างจากกรุงเรคยาวิกทางตะวันออกราว 30 กิโลเมตร ซึ่งแม้จะไม่เคยเห็นเอลฟ์กับตาตนเอง แต่ก็บอกว่าเอลฟ์ที่แหละที่ชาวเมืองกล่าวกันว่าอยู่เบื้องหลังการเล่นซุกซน แกล้งชาวบ้านสมัยที่เธอยังเด็ก

"ตอนฉันเป็นเด็ก ใครบางคนบอกว่าสิ่งของหลายอย่างอันตรธานไป" เธอเล่า "บางคราวถ้าคุณวางกุญแจไว้ทิ้งบนโต๊ะ ราวชั่วโมงหรือสองชั่วโมงมันจะหายไป แต่พออีกชั่วโมงหรือสองชั่วโมงให้หลัง กุญแจพวกนี้ก็กลับมาวางอยู่ตรงที่เดิม"

ต่อมาเราถึงรู้ว่าบียอร์ก เป็นญาติของผู้หญิงที่ทำชิ้นส่วนหน้าบ้านหลอกๆ ทาสีสด ที่พนักงานโรงแรมบอกว่าเป็นประตูเอลฟ์ เธอช่วยบอกทางให้ คณะนี้จึงขับรถไปยังภูเขาหัวตันที่อยู่ใกล้เคียง แล้วทันใดนั้นพวกเขาก็สะดุดตากับประตูที่เด่นอยู่กลางโขดหินที่มีมอสส์ขึ้น คลุม

เขาหยุดรถ แล้วลงย่ำโคลนสูงท่วมเข่าเพื่อไปยังจุดหมายสีขาว-แดงซึ่งมีเลข 2 เขียนไว้บนประตูบานเล็ก

เสีย เวลาเปล่าเสียแล้ว ไม่ยักกะมีเอลฟ์เจ้าบ้านออกมารับแขก หรือโผล่หน้ามาจับจ้องพวกเขา มีแต่ฝูงม้าตัวเล็กที่มองด้วยสายตาสงสัยอยู่อีกฟากถนน

วิกเตอร์ อาร์นาร์ อันกอล์ฟสัน หัวหน้าการทางเคยเขียนรายงานชื่อ "สำนักงานการทางสาธารณะกับความเชื่อเรื่องเอลฟ์" บอกเล่าถึงขั้นตอนที่หน่วยงานของเขาต้องคอยประนีประนอมกับความวิตกกังวลของ คนท้องถิ่นเรื่องถิ่นฐานของเอลฟ์และพวกสถานที่ต้องคำสาปทั้งหลาย

เขากล่าวว่า เขา "คลางแคลงใจอย่างยิ่ง" ว่าเรื่องพวกนี้มันจะมีอยู่จริงๆ ถึงแม้พวกลูกจ้างของสำนักงานการทางจะมีทัศนะที่ "แตกต่างอย่างสุดลิ่ม" ก็ตาม

ที่ ฐานทัพอากาศสหรัฐในไอซ์แลนด์ จุดมุ่งหมายที่ผู้สื่อข่าวกลุ่มนี้เดินทางมาทำข่าวการปิดฐานทัพ ฟริดเธอร์ ไอดัล โฆษกฐานทัพบอกเช่นกันว่า เขาสงสัยว่าเพื่อนร่วมชาติอาจจะแกล้งทำเป็นเชื่อเรื่องเหนือธรรมชาติพวกนี้ เพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยวซะมากกว่า

เล่นเอาคณะนี้ผิดหวังไปตามๆ กัน.

1/04/2553

Middleearth ตำนานแห่ง มิดเดิ้ลเอิร์ธ



มิดเดิ้ลเอิร์ธ (Middle-earth)
หรือ มัชฌิมโลก หมายถึงสถานที่ในนิยายของ เจ. อาร์. อาร์. โทลคีน อันเป็นฉากหลังของเรื่องราวตำนานทั้งหลายในงานเขียนของโทลคีน ปกรณัมของโทลคีนมีเนื้อหาเกี่ยวกับการเข้าควบคุมและครอบครองโลก (ในตำนานเรียกว่า "อาร์ดา") ซึ่งมีทวีปหลักชื่อว่า "มิดเดิลเอิร์ธ" เป็นที่อยู่อาศัยของพวก 'มรรตัยชน' (คือมนุษย์ที่รู้ตาย) เป็นสถานที่ตรงข้ามกับ "อามัน" หรือ 'แดนอมตะ' อันเป็นถิ่นที่อยู่ของพวกวาลาร์ กับพวกเอลฟ์ คำนี้มีรากมาจากคำภาษาอังกฤษยุคกลางว่า middel-erde ซึ่งพัฒนามาจากคำในภาษาอังกฤษโบราณว่า middangeard

แก่นสำคัญของงานเขียนของโทลคีนคือเรื่องของการช่วงชิง ควบคุม และครอบครองอำนาจหรือของวิเศษ ทำให้เกิดสงครามขึ้นบนมิดเดิลเอิร์ธหลายครั้งหลายหน คือสงครามระหว่างเหล่าเทพวาลาร์ เอลฟ์ และพันธมิตรชาวมนุษย์ฝ่ายหนึ่ง กับเทพอสูรเมลคอร์กับบริวาร ได้แก่พวกออร์ค มังกร และมนุษย์ที่เป็นทาสอีกฝ่ายหนึ่ง ในตำนานยุคหลัง เมื่อเมลคอร์สิ้นอำนาจและถูกขับไล่ออกไปจากอาร์ดาแล้ว บทบาทการช่วงชิงนี้ก็ตกไปอยู่กับเซารอน สมุนเอกของเขา เหล่าเทพวาลาร์ได้ยุติบทบาทของตนลงหลังจากที่เมลคอร์สิ้นอำนาจ เพราะการสงครามระหว่างพวกพระองค์ครั้งนั้นได้ทำให้โลกพินาศเสียหายไปมาก อย่างไรก็ดีพวกพระองค์ก็ยังส่ง อิสตาริ หรือเหล่าพ่อมด เข้ามาให้ความช่วยเหลือในการต่อต้านอำนาจของเซารอน อิสตาริที่มีบทบาทมากคือ แกนดัล์ฟพ่อมดเทา และซารูมานพ่อ มดขาว แกนดัล์ฟได้ทำงานบรรลุวัตถุประสงค์เป็นอย่างดี โดยได้ช่วยเหลือชาวมิดเดิลเอิร์ธอย่างถึงที่สุดเพื่อโค่นอำนาจเซารอนลงให้ ได้ แต่ซารูมานกลับพ่ายแพ้ต่อความคิดฉ้อฉลแล้วตั้งตนขึ้นเป็นใหญ่ ช่วงชิงอำนาจบนมิดเดิลเอิร์ธแข่งกับเซารอนเสียเอง สำหรับพลเมืองชาวมิดเดิลเอิร์ธพวกอื่นๆ ได้แก่ คนแคระ เอนท์ และฮอบบิท อันเป็นเผ่าพันธุ์ที่มีชื่อเสียงมากที่สุด

ในการสร้างสรรค์งานของโทลคีน เขาได้จัดทำแผนที่ของ มิดเดิลเอิร์ธขึ้นเป็นจำนวนมาก แสดงถึงดินแดนและสถานที่ต่างๆ ที่ตำนานของเขาเอ่ยถึง แผนที่บางส่วนได้รับการตีพิมพ์ในช่วงชีวิตของเขา แต่ก็ยังมีแผนที่อีกจำนวนมากที่ไม่ได้ตีพิมพ์เลยจนกระทั่งเขาเสียชีวิตไป แล้ว แผนที่ส่วนใหญ่จะปรากฏอยู่ในเรื่อง เดอะฮอบบิท เดอะลอร์ดออฟเดอะริงส์ และ ซิลมาริลลิออน เหตุการณ์ส่วนใหญ่ในยุคที่หนึ่งเกิดขึ้นบนดินแดนที่เรียกชื่อว่า เบเลริอันด์ ดินแดนนี้ต่อมาได้จมลงสู่ทะเลหลังสงครามครั้งใหญ่ระหว่างเทพวาลาร์กับเมลคอร์ คงเหลือแต่เทือกเขาสีน้ำเงินที่ ปรากฏอยู่ทางขวาสุดของแผนที่ เป็นจุดเชื่อมต่อเดียวกันกับเทือกเขาสีน้ำเงินที่อยู่ทางด้านซ้ายสุดของ แผนที่ในเรื่องเดอะลอร์ดออฟเดอะริงส์ ดินแดนทางด้านตะวันออกของเทือกเขาสีน้ำเงินเป็นที่เกิดเหตุการณ์ต่างๆ ในยุคที่สองและสาม

โทลคีนบอกว่ามิดเดิ้ลเอิร์ธนั้นคือโลกของเรา เพียงแต่เป็นช่วงเวลาในอดีต โดยประมาณว่าปลายยุคที่สามคือช่วงระยะประมาณ 6,000 ปีก่อนยุคของโทลคีน[1] เขายังบรรยายเขตแดนที่ฮอบบิทอาศัยว่าอยู่ที่ "ตะวันตกเฉียงเหนือของโลกเก่า ทางตะวันออกของทะเลใหญ่",[2] ซึ่งอ้างอิงถึงอังกฤษและเขตตะวันตกเฉียงเหนือของยุโรปอย่างชัดเจน

1/03/2553

ในประเทศไทยก็มีสามาคม เอลฟ์ แห่งประเทศไทยด้วย








ลิงค์เข้าสมาคม เหอะๆไม่น่าเชื่อมันมีอยู่จริง!!

ที่มาของชื่อ

คำว่า "เอลฟ์" ในภาษาอังกฤษ มาจากภาษาอังกฤษโบราณว่า ælf (บ้างเรียกว่า ylf) ซึ่งมาจากคำในตระกูลโปรโต-เยอรมันว่า *albo-z, *albi-z ภาษานอร์สโบราณว่า álfr เยอรมันยุคกลางชั้นสูงว่า elbe ในตำนานอังกฤษยุคกลางนับถึงคริสต์ศตวรรษที่ 14 ถือว่า เอลฟ์ (elf) เป็นเพศชาย ส่วนเพศหญิงจะเรียกว่า elven (ภาษาอังกฤษโบราณว่า ælfen ซึ่งมาจาก *albinnja)

คำเรียกเอลฟ์แบบต่างๆ ในภาษากลุ่มเจอร์เมนิก นอกเหนือจากภาษาอังกฤษ มีดังนี้

* เจอร์เมนิกเหนือ
o นอร์สโบราณ : álfr พหูพจน์ álfar
o ไอซ์แลนด์ : álfar, álfafólk และ huldufólk (ชนผู้ซ่อนตัว)
o เดนมาร์ก : Elver, elverfolk หรือ alfer (คำว่า alfer ในปัจจุบันแปลว่า ภูต (fairies))
o นอร์เวย์ : alv, alven, alver, alvene / alvefolket
o สวีเดน : alfer, alver หรือ älvor (สำหรับคำเพศหญิง)
* เจอร์เมนิกตะวันตก
o ดัตช์ : elf, elfen, elven, alven
o เยอรมัน : Elf (ชาย) , Elfe (หญิง) , Elfen "fairies", Elb (ชาย, พหูพจน์ Elbe หรือ Elben) [2] เป็นคำสร้างขึ้นใหม่ ส่วน Elbe (หญิง) เป็นคำในภาษาเยอรมันยุคกลางชั้นสูง Alb Alp (ชาย) พหูพจน์ Alpe มีความหมายเหมือนกับ "incubus" (ภาษาเยอรมันโบราณชั้นสูงเรียก alp พหูพจน์ *alpî หรือ *elp&icirc
* โกธิค : *albs, พหูพจน์ *albeis (โปรคอพิอุส นักปราชญ์ชาวโรมัน มีชื่อเดิมว่า Albila)

1/02/2553

กำเนิดของเอลฟ์

พวกเอลฟ์ตื่นขึ้นในยุคที่หนึ่งของยุคแห่งพฤกษา
ที่ริมทะเลสาบคุยวิเอเนน
ทางตะวันออกของ
มิดเดิ้ลเอิร์ธ
เวลานั้นโลกอาร์ดายังไม่มี
ดวงอาทิตย์และดวงจันทร์ มีแต่เพียงแสงสว่าง
จากแสงดาว พวกเอลฟ์จึงมองเห็นแสงดาวเป็นสิ่งแรก
และหลงรักในแสงดาวเหล่านั้นเทพโอโรเม
เป็น
วาลาองค์แรกที่มาพบการตื่นของพวกเอลฟ์ และนำข่าวกลับไปแจ้งยังวาลินอร์
ในยุคนั้นวาลาร์ทั้งปวงอาศัยอยู่ที่วาลินอร์บนทวีปอามัน
ส่วนมิดเดิ้ลเอิร์ธตกอยู่
ใต้การก่อความวุ่นวายของเมลคอร์
เมลคอร์ยังลอบจับตัวเอลฟ์บางคนไป
ทรมานและดัดแปลงให้กลายเป็นออร์ค
เหล่าวาลาร์จึงมีดำริให้พวกเอลฟ์
อพยพมาอยู่ที่ทวีปอามันด้วยกัน เมื่อนั้นจึงเกิดเป็น
การเดินทางครั้งใหญ่
(The Great Journey) เป็นเหตุให้เกิดการแบ่งชาติพันธุ์ของเอลฟ์เป็นกลุ่มต่างๆ

Elf ?




หลายคนรู้จัก Elf จากภาพยนตร์ แล้วคุณรู้จักจริงๆหรือเปล่า

เอลฟ์
(อังกฤษ: Elf) ตามความหมายในจินตนิยายชุดมิดเดิลเอิร์ธ
ของ
เจ. อาร์. อาร์. โทลคีน เป็นสิ่งมีชีวิตที่ถูกสร้างขึ้นโดยมหาเทพ
อิลูวาทาร์
มีชีวิตยืนยาวเท่ากับอายุของโลก จึงเสมือนหนึ่งว่าเป็นอมตะ
คำว่า 'เอลฟ์' (Elf) เป็นคำที่โทลคีนเลือกมาจากตำนานโบราณเพื่อใช้
แทนคำศัพท์แท้จริงอันเป็นชื่อของชนเผ่านี้ คือ
เอลดาร์ (Eldar)
ซึ่งเป็นคำในภาษาเควนยา
หมายถึง 'ประชากรแห่งแสงดาว'[1]

โทลคีนมักกล่าวเสมอว่า การตั้งชื่อต่างๆ ในผลงานของเขา
มีเหตุจากรากฐานของเสียงและคำศัพท์ในภาษาเฉพาะที่เขาประดิษฐ์ขึ้น
คือภาษาเควนยาและภาษาซินดาริน
อย่างไรก็ดีคำศัพท์เหล่านั้นมัก
พ้องเสียงกับรูปภาษาโบราณอื่นๆ โดยเฉพาะภาษาอังกฤษเก่า
(Old English)
การศึกษาผลงานของโทลคีนโดยพิจารณารากศัพท์ในภาษาอังกฤษเก่า
ช่วยให้เข้าใจจุดมุ่งหมายในการประพันธ์ของโทลคีนมากขึ้นเอลฟ์

ในผลงานของโทลคีน สื่อถึงอารยธรรมอันเก่าแก่ ความทรงภูมิปัญญา
และความดีงามของโลก ซึ่งส่วนหนึ่งสืบทอดไหลเวียนอยู่ในร่างกายมนุษย์
โทลคีนสื่อความหมายนี้โดยการประพันธ์ให้เผ่าพันธุ์เอลฟ์ ได้วิวาห์กับเผ่าพันธุ์มนุษย์