1/05/2553

ตามหา 'เอลฟ์' ในไอซ์แลนด์



เอลฟ์มีจริงหรือเปล่า? คำตอบนั่นขึ้นอยู่กับว่าคุณกำลังถามใคร ถ้าเป็นชาวไอซ์แลนด์ ส่วนใหญ่คงพยักหน้ารับกับคำถามนี้

และ มีบ้างบางคนที่แบ่งรับแบ่งสู้ ก็จะให้พวกเขาเชื่ออย่างไรได้ในเมื่อนี่คือตำนานความเชื่อดั้งเดิมของชน ไอซ์แลนด์ที่สืบทอดกันมานานหลายร้อยปี

วันนี้ ซาราห์ เอ็ดมอนด์ส ผู้สื่อข่าวรอยเตอร์จะพาเราออกตามหาภูตตัวจิ๋วในดินแดนแห่งสายลมและโขดหินแห่งนี้

ปัจจุบัน ความเชื่อเกี่ยวกับสิ่งที่มองไม่เห็นยังทรงอิทธิพลแรงกล้าในไอซ์แลนด์ หลายครั้งที่สำนักงานการทางต้องระงับงานก่อสร้างหรือเปลี่ยนเส้นทางตัดถนน เพื่อหลีกเลี่ยงสถานที่ที่พวกชาวบ้านบอกกันว่าเป็นที่อยู่ของพวกเอลฟ์ หรือเป็นสถานที่ต้องคำสาป




เมื่อเราลองค้นหาคำว่า "เอลฟ์" หรือ "ไอซ์แลนด์" ในเว็บไซต์ Google เราจะพบแหล่งข้อมูลมากถึง 846,000 รายการ หรือเกือบ 3 เท่าของประชากรไอซ์แลนด์

แต่ก่อนที่เอ็ดมอนด์ส และ บ็อบ สตรอง ช่างภาพ กับ โซเฟีย ฮิลเดน โปรดิวเซอร์รายการทีวีจะเริ่มทัวร์ตามหาเอลฟ์ พวกเขาใช้เวลาที่พอมีเหลืออยู่ออกค้นหาที่มาของความเชื่อนี้เก็บเป็นข้อมูล เริ่มจากที่กรุงเรคยาวิกนี่แหละ

แหล่งข้อมูลแรกมาจากพนักงานดูแล แขกของโรงแรม ที่บอกพวกเขาถึงสถานที่หนึ่งที่หญิงชาวบ้านคนหนึ่งทำ "ประตูเอลฟ์" เพื่อบ่งบอกว่าโขดหินนี้มีประชากรเอลฟ์อาศัยอยู่หนาแน่น เขาวงกลมทำเครื่องหมายบนแผนที่ไว้ให้ด้วย

เออร์ลา สเตฟานส์ดอตตีร์ ครูสอนเปียโน คน ท้องถิ่นที่อ้างว่าเคยเห็นเอลฟ์กับตาซึ่งมีชื่อปรากฏอยู่บนแผ่นพับสำหรับนัก ท่องเที่ยวในฐานะผู้เชี่ยวชาญด้านเอลฟ์ รับประกันกับนักล่าหาเอลฟ์กลุ่มนี้ระหว่างคุยกันทางโทรศัพท์ว่า เอลฟ์ในไอซ์แลนด์มีอยู่มากมาย ไม่ต้องเดินทางออกตามหาไกลหรอก

มีผู้เชี่ยวชาญรับรองเป็นมั่นเหมาะแบบนี้ พวกเขาจึงเก็บของทิ้งเมืองหลวงไปแสวงสิ่งแปลกใหม่ตื่นตาตื่นใจมากมายที่รออยู่ข้างนอก

สภาพภูมิประเทศของไอซ์แลนด์ที่เห็นดูเป็นสถานที่ที่เหมาะสำหรับเป็นที่อยู่ของพวกเอลฟ์

ภูมิทัศน์สองข้างทางถนนสายใหญ่ที่ทอดตัวโดดเดี่ยว หรือทางหลวงหมายเลข 1 อย่างกับภาพทิวทัศน์จากดาวเคราะห์ดวงอื่น

มอ สหนาหลากสีสัน ตั้งแต่สีซีดเกือบเทาจนถึงสีแดงเข้ม ขึ้นปกคลุมทุ่งหินลาวาสีดำขรุขระ แต้มด้วยสีเหลืองและสีแดงคล้ำสนิมของมวลดอกไม้ แทรกสะดุดด้วยเสียงน้ำตกและธารน้ำไหล ไอน้ำพวยพุ่งขึ้นสูงสู่อากาศที่เจือด้วยกลิ่นกำมะถันจากร่องหินที่ทอดตรงสู่ ใจกลางโลกที่หลอมละลาย

กระนั้นทุกวันนี้ยังมีมนุษย์บางรายที่ตื่นกลัวชีวิตเล็กๆ พวกนี้

เพราะ ว่าชาวไอซ์แลนด์ส่วนใหญ่ในประชากร 300,000 คนใช้ชีวิตอยู่ที่กรุงเรคยาวิก จึงไม่แปลกที่ดินแดบแถบนี้แทบจะร้างไร้คนสัญจร ต้นไม้ใหญ่ก็แทบไม่มีให้เห็น ยกเว้นบริเวณที่อยู่ใกล้เมือง มีนกแค่ 3 ตัวที่มาปรากฏแก่สายตาพวกเขาในวันอันหนาวเหน็บวันนี้

ตามทุ่งหญ้ามี ฝูงม้าพันธุ์เล็กและแกะขนหนา พวกเขาได้พบเห็นหุบเขางดงามยิ่งแห่งหนึ่งที่ทอดตัวลงสู่ทะเล ตัดไขว้ด้วยถนนหินลาวาเนื้อร่วน

ท้ายทริปของวันนั้น กลุ่มนักล่าเอลฟ์ไปพบ "บลูลากูน" แหล่งธารน้ำแร่ร้อนจากธรรมชาติที่มีชื่อเสียงของไอซ์แลนด์ ที่ผู้คนนิยมมาอาบน้ำร้อนแช่น้ำแร่ขุ่นมัวในแอ่งน้ำตื้นสีฟ้าเข้ม

แต่นั่นเป็นก่อนที่พวกเขาได้เจอ "ประตูเอลฟ์"

เอลฟ์ ตามข้อมูลของสารานุกรมเสรีวิกีพีเดีย ระบุว่า เอลฟ์ หรือพราย สิ่งมีชีวิตอมนุษย์ในตำนานนอร์ส ซึ่งเชื่อกันว่าอาศัยอยู่ตามภาคเหนือของยุโรป เอลฟ์ส่วนมากจะถูกแสดงในรูปลักษณ์หน้าตาที่สวยงาม อยู่ตามป่าเขาธรรมชาติ กล่าวกันว่าพวกเขาเป็นอมตะและมีพลังเวทมนตร์...

และพลังเวทมนตร์เหล่านี้เองได้รับการกล่าวขวัญถึงในหมู่ชาวไอซ์แลนด์ว่า เป็นต้นเหตุของเรื่องลึกลับ ชวนฉงนในชีวิตประจำวันของมนุษย์

คริสติน บียอร์ก พนักงานสถานีบริการน้ำมันในเมืองฮวีราเจอร์ดี ที่อยู่ห่างจากกรุงเรคยาวิกทางตะวันออกราว 30 กิโลเมตร ซึ่งแม้จะไม่เคยเห็นเอลฟ์กับตาตนเอง แต่ก็บอกว่าเอลฟ์ที่แหละที่ชาวเมืองกล่าวกันว่าอยู่เบื้องหลังการเล่นซุกซน แกล้งชาวบ้านสมัยที่เธอยังเด็ก

"ตอนฉันเป็นเด็ก ใครบางคนบอกว่าสิ่งของหลายอย่างอันตรธานไป" เธอเล่า "บางคราวถ้าคุณวางกุญแจไว้ทิ้งบนโต๊ะ ราวชั่วโมงหรือสองชั่วโมงมันจะหายไป แต่พออีกชั่วโมงหรือสองชั่วโมงให้หลัง กุญแจพวกนี้ก็กลับมาวางอยู่ตรงที่เดิม"

ต่อมาเราถึงรู้ว่าบียอร์ก เป็นญาติของผู้หญิงที่ทำชิ้นส่วนหน้าบ้านหลอกๆ ทาสีสด ที่พนักงานโรงแรมบอกว่าเป็นประตูเอลฟ์ เธอช่วยบอกทางให้ คณะนี้จึงขับรถไปยังภูเขาหัวตันที่อยู่ใกล้เคียง แล้วทันใดนั้นพวกเขาก็สะดุดตากับประตูที่เด่นอยู่กลางโขดหินที่มีมอสส์ขึ้น คลุม

เขาหยุดรถ แล้วลงย่ำโคลนสูงท่วมเข่าเพื่อไปยังจุดหมายสีขาว-แดงซึ่งมีเลข 2 เขียนไว้บนประตูบานเล็ก

เสีย เวลาเปล่าเสียแล้ว ไม่ยักกะมีเอลฟ์เจ้าบ้านออกมารับแขก หรือโผล่หน้ามาจับจ้องพวกเขา มีแต่ฝูงม้าตัวเล็กที่มองด้วยสายตาสงสัยอยู่อีกฟากถนน

วิกเตอร์ อาร์นาร์ อันกอล์ฟสัน หัวหน้าการทางเคยเขียนรายงานชื่อ "สำนักงานการทางสาธารณะกับความเชื่อเรื่องเอลฟ์" บอกเล่าถึงขั้นตอนที่หน่วยงานของเขาต้องคอยประนีประนอมกับความวิตกกังวลของ คนท้องถิ่นเรื่องถิ่นฐานของเอลฟ์และพวกสถานที่ต้องคำสาปทั้งหลาย

เขากล่าวว่า เขา "คลางแคลงใจอย่างยิ่ง" ว่าเรื่องพวกนี้มันจะมีอยู่จริงๆ ถึงแม้พวกลูกจ้างของสำนักงานการทางจะมีทัศนะที่ "แตกต่างอย่างสุดลิ่ม" ก็ตาม

ที่ ฐานทัพอากาศสหรัฐในไอซ์แลนด์ จุดมุ่งหมายที่ผู้สื่อข่าวกลุ่มนี้เดินทางมาทำข่าวการปิดฐานทัพ ฟริดเธอร์ ไอดัล โฆษกฐานทัพบอกเช่นกันว่า เขาสงสัยว่าเพื่อนร่วมชาติอาจจะแกล้งทำเป็นเชื่อเรื่องเหนือธรรมชาติพวกนี้ เพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยวซะมากกว่า

เล่นเอาคณะนี้ผิดหวังไปตามๆ กัน.

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น